รีวิว

พรีวิว แกะกล่อง iPhone 15 Pro Max Natural Titanium พรีเมี่ยม และเบากว่าเดิม กับหลายๆ เรื่องที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจ!

หลายๆ คนก็น่าจะจัดมากันแล้วนะครับกับ iPhone 15 Series ซึ่งพระเอกในปีนี้ก็หนีไม่พ้นรุ่นท๊อปอย่าง iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ที่นอกจากสเปหจะดีขึ้น กล้องที่รองรับ Optical Zoom 5x (สำหรับ iPhone 15 Pro Max) และ USB Type-C ที่หลายๆ คนตางเฝ้ารอคอย แต่จุดที่โดดเด่นที่สุดก็คือวัสดุขอบตัวเครื่อง ที่บริเวณกรอบเลนส์กล้อง ที่เปลี่ยนจากสแตนเลส มาเป็นไทเทเนียม เกรด 5 ซึ่งช่วยให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักที่เบาขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีน้ำหนักเพียงแค่ 221 กรัม จากเดิมรุ่นที่แล้ว iPhone 14 Pro Max มีน้ำหนักอยู่ที่ 240 กรัม อาจจะดูไม่เยอะนะครับ กับน้ำหนักที่ต่างกันเพียงแค่ 19 กรัม แต่การจับถือนี่รู้สึกเลยครับว่าเบาขึ้นมาก จริงๆ แค่บอกว่าหันมาใช้ไทเทเนียม คนก็ว้าวกันแล้วนะครับ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ ตื่นเต้นกับไทเทเนียม ไปรับเครื่องเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้เอง ผมซื้อเครื่องเปล่าที่ TRUE ICON HALL ที่ ICONSIAM

สำหรับในปีนี้ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มีให้เลือก 4 สี ไทเทเนียม, น้ำเงิน, ขาว และดำ ซึ่งสียอดนิยมในตอนนี้ก็คือสีไทเทเนียม หรือ Natural Titanium เป็นสีที่ดูสวยและดูเรียบหรูไม่เลวเลยครับ โดยจะเป็นสีเทาเงินทั้งเครื่อง ดีไซน์โดยรวมต้องบอกว่าเหมือนเดิมเลยครับ แตกต่างก็คือขอบตัวเครื่อง และกล้องจะเป็นไทเทเนียมที่มีการเคลือบสีด้านดูสวยงามไปอีกแบบ แต่ส่วนตัวผมกลับชอบแบบเดิมที่ใช้สแตนเลสมากกว่าครับ ผมว่าสวยกว่า ตอนที่ผมลองเครื่องครั้งแรก ผมก็ชอบนะครับ รู้สึกว่าสวยดี แต่พอจับไปจับมาผมชอบแบบเดิมมากกว่า

กล่องของ iPhone 15 Pro Max สวยมากเหมือนเคย ในกล่องประกอบด้วย

  • ตัวเครื่อง iPhone 15 Pro Max
  • แผ่นรองหน้าจอ
  • สาย USB Type-C to Type-C แบบถัก
  • เข็มจิ้มซิม
  • สติกเกอร์ Apple
  • เอกสาร

สาย USB Type-C to Type-C แบบถัก ดูดีใช้ได้เลยนะครับ

เอกสารเพียบ พร้อมเข็มจิ้มซิม และสติกเกอร์ Apple

ในส่วนของสเปก iPhone 15 Pro Max จะมีรายละเอียดดังนี้

  • 5G bands 1, 2, 3, 5, 7, 8, 12, 20, 25, 26, 28, 30, 38, 40, 41, 48, 53, 66, 70, 77, 78, 79 SA/NSA/Sub6
  • หน้าจอ LTPO Super Retina XDR OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1290 x 2796 pixels (460 ppi), 120Hz, Dolby Vision, ความสว่างสูงสุด 2,000 nits, กระจก Ceramic Shield glass
  • ทำงานบน iOS 17
  • ชิปเซ็ต Apple A17 Pro (3 nm)
  • CPU Hexa-core (2×3.78 GHz + 4)
  • GPU Apple GPU (6-core graphics)
  • RAM 8GB
  • ROM 256GB/512GB/1TB
  • กล้องหน้าความละเอียด 12MP F1.9, 23 มม. (wide), PDAF, OIS + SL 3D
  • กล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียด 48MP F1.8, 24 มม. (wide), dual pixel PDAF, sensor-shift OIS + 12MP F2.8, 120 มม. (Tele), dual pixel PDAF, 3D sensor‑shift OIS, 5x Optical Zoom + 12MP F2.2, 13 มม., 120 องศา (ultrawide), dual pixel PDAF + TOF 3D LiDAR scanner (depth)
  • Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6e, dual-band, hotspot
  • Bluetooth 5.3, A2DP, LE
  • GPS, GLONASS, GALILEO, BDS, QZSS, NavIC
  • NFC
  • USB Type-C 3.0
  • เซนเซอร์ Face ID, accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer Ultra Wideband 2 (UWB) support, Emergency SOS via satellite (SMS sending/receiving)
  • ลำโพงคู่
  • รองรับมาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP68
  • แบตเตอรี่ความจุ 4,441 mAh, ชาร์จไว 27W, ชาร์จไร้สาย 15W
  • ราคาเปิดตัว ความจุ 256GB ราคา 48,900 บาท, 512GB ราคา 57,900 บาท, 1TB ราคา 66,900 บาท

จากการสัมผัสและลองใช้งาน เรื่องขอบเครื่อง วัสดุไทเทเนียมเป็นรอยนิ้วมือง่ายจริงๆ ครับ จะเป็นรอยจ้ำๆ เป็นคราบนิ้วมือ ซึ่งเช็ดออกได้ยาก แถมยังเช็ดออกได้ไม่หมดด้วย ยังไงก็จะเกิดรอยที่ขอบเครื่องอย่างแน่นอน ซึ่งจุดนี้ผมไม่ว่าสารเคลือบผิววัสดุน่าจะมีปัญหาในการใช้งานจริงแล้วละครับ แต่มันก็ชัดเจนและเกิดขึ้นง่ายจนน่าจะเห็นตั้งแต่ขบวนการทดสอบวัสดุแล้ว ทาง Apple ไม่น่าจะปล่อยออกมาขายแบบนี้เลยนะครับ ส่วนตัวผมก็แปลกใจมากๆ เลย

ในส่วนของกล้องมีลูกเล่นที่น่าสนใจนะครับ เราสามารถเลือกระยะในการถ่ายจากในเมนูกล้องได้ เมื่อเราแตะที่ 1x โดยจะมีการปรับระยะเป็น 24 มม., 28 มม. และ 35 มม. โดยระยะของกล้องจะมีให้เลือก Ultrawide, 1x, 2x, 5x (และ Digital Zoom สูงสุด 25x) ผมได้ทดสอบถ่ายในที่แสงน้อยในระยะ Optical Zoom แล้ว ในระยะ 5x ทำได้แย่มากๆ เลยครับ รู้สึกผิดหวังจัง แต่เดี๋ยวลองไปถ่ายจริงจังดูก่อนครับ รอรีวิวกันได้เลย ส่วนเรื่อง Digital Zoom 25x มันน้อยมากเลยครับ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ส่วนตัวผมเฉยๆ เพราะผมไม่ถ่ายช่วง Digital Zoom เลยครับ ในการใช้งานจริง ผมว่าที่ทำไม่ได้ก็เพราะว่า Apple ไม่ได้เลือกใช้กล้อง Periscope ด้วยละครับ

ที่ผมชอบมากเลยก็คือเรื่องของการจับถือ และน้ำหนักที่ดีขึ้นมาก ตรงจุดนี้เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะประทับใจอย่างแน่นอนครับ ในส่วนอื่นๆ ทั้งหน้าจอที่สวยงาม ความลื่นไหลทำได้ดีมากสมกับเป็น iOS นะครับ และโดยรวมทำให้รู้สึกได้ถึงความแตกต่างจากรุ่นก่อนๆ แม้ว่าจะคงดีไซน์เดิมเลย แต่แบบนี้ผมว่ามันคือเมเจอร์เชนจ์นะครับ เป็นการยกเครื่องจากเดิม โดยรวมเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจ และเปลี่ยนแปลงมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมนะครับ