Post Views: 257
50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยจีน ได้ถูกถักทออย่างละเอียดลึกซึ้ง เรื่องราวของผู้คนที่อยู่ห่างกันนับพันกิโลเมตรแต่กลับส่งถึงกันได้ผ่านสะพานเชื่อมระหว่างสองแผ่นดินอย่าง “ไปรษณีย์ไทย” หน่วยงานที่ไม่ได้แค่มีบทบาทส่งพัสดุหรือเอกสารข้ามพรมแดน แต่ยังเป็นผู้ขับเคลื่อนความผูกพันระหว่างผู้คน ไม่ว่าจะเป็นซองจดหมายของญาติพี่น้องเชื้อสายจีนในไทยที่ส่งหากันในเทศกาลสำคัญ ของฝากเล็ก ๆ ที่ส่งจากบ้านเกิดถึงเพื่อนที่คิดถึงกันในเมืองต่าง ๆ สู่ประเทศจีน หรือแม้กระทั่งพัสดุที่บรรจุผลผลิตจากเกษตรกรไทยที่เดินทางไปถึงผู้บริโภคจีนด้วยความตั้งใจ ไปรษณีย์ไทยจึงไม่ใช่แค่ “ผู้ส่งสาร” แต่เป็น “ผู้ส่งใจ” ทั้งยังส่งเสริมความร่วมมือ และสานต่อความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งที่เป็นไปรฯ ได้ในชีวิตจริง

มิตรภาพไทย – จีน 50 ปี จากจดหมายสู่ทูตวัฒนธรรม สายใยประวัติศาสตร์ในความสัมพันธ์ทวิภาคี
หากจะมองหาภาพแทนใจของมิตรภาพที่แนบแน่นระหว่างสองแผ่นดินอย่างไทยและจีน ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หนึ่งในภาพที่ชัดเจนและจับต้องได้ที่สุดคือจดหมายที่เดินทางข้ามพรมแดนในยุคที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือสมาร์ทโฟน จดหมายเหล่านี้เปี่ยมด้วยน้ำเสียงแห่งความคิดถึง ความห่วงใย และการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรมที่ยังคงอบอุ่นในความทรงจำจนถึงวันนี้ จดหมายจากคนไทยถึงชาวจีน และจากจีนถึงไทย กลายเป็นสายใยเล็ก ๆ ที่ร้อยเรียงจนกลายเป็นเครือข่ายของมิตรภาพอย่างมั่นคง
ในอดีต บริการไปรษณีย์นั้นมุ่งเน้นไปที่การส่งจดหมายและเอกสารอย่างเป็นทางการ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารส่วนบุคคลและราชการระหว่างสองประเทศ หน้าที่นี้ได้วางรากฐานสำหรับการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้ง เมื่อเวลาผ่านไปบทบาทของไปรษณีย์ไทยได้ขยายจากการเป็นผู้ส่งไปสู่การเป็นผู้นำทางการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้า การอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวผ่านการจัดส่งของที่ระลึก และทำหน้าที่เป็นช่องทางในการส่งต่อวัตถุทางวัฒนธรรม งานศิลปะ และเรื่องเล่าระหว่างสองแผ่นดิน เรียกได้ว่าไปรษณีย์ไทยเป็นผู้สานสัมพันธ์สะท้อนความใกล้ชิดระหว่างผู้คน วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ที่ถักทอกันอย่างแนบแน่น มิตรภาพที่ยาวนานระหว่างสองประเทศนี้ อาจเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายจากน้ำหมึกในจดหมายและซองบาง ๆ ที่ข้ามน้ำข้ามฟ้าไปสู่ดินแดนอันไกลโพ้น และยังคงความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ตลอดมา

จากผู้ส่งพัสดุ สู่ผู้เชื่อมเศรษฐกิจระดับภูมิภาค “ไปรษณีย์ไทยในสมรภูมิโลจิสติกส์ไทย–จีน”
ในยุคที่การสื่อสารและเศรษฐกิจไร้พรมแดน ไปรษณีย์ไทยได้ก้าวสู่บทบาทผู้นำด้านโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค ด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายขนส่งระหว่างไทยและจีนผ่านทางอากาศ ทางบก โดยโครงสร้างขนส่งรูปแบบนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ธุรกิจส่งออก แต่ยังสะท้อนบทบาทของไปรษณีย์ไทยในฐานะพลังสำคัญ ด้าน Soft Power ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทย–จีนให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
หลังโควิด-19 ไปรษณีย์ไทยสามารถกลับมาเปิดบริการไปจีนได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนศักยภาพในการปรับตัวต่อวิกฤตโลก พร้อมรักษาเส้นทางการค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการ จนกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในห่วงโซ่อุปทานภูมิภาค ด้วยความสามารถรองรับสินค้าปริมาณมากและมูลค่าสูง เสริมศักยภาพสินค้าไทยสู่ตลาดจีนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังสนับสนุน SMEs ด้วยเครือข่ายกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง ThailandPostMart ที่ช่วยแก้ปัญหา “ไมล์แรก– ไมล์สุดท้าย” ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ เชื่อมสู่การค้าออนไลน์ได้ทั่วถึง

เมื่อดวงแสตมป์เป็นทูต สื่อสารประวัติศาสตร์และเดินความสัมพันธ์ ไทย–จีน 50 ปี
ไปรษณีย์ไทยได้ทำหน้าที่เป็นทูตวัฒนธรรม จัดสร้างแสตมป์ที่ระลึกบันทึกประวัติศาสตร์ และสะท้อนมิตรภาพระหว่างไทย–จีนอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในวาระครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ได้จัดทำแสตมป์ชุดพิเศษ “50 ปี ไทย–จีน” ที่ผสานพญานาคของไทยและมังกร ของจีนเป็นเลข 50 พร้อมภาพจำสำคัญ เช่น การเชิดสิงโต พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ และอาคารสถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกสในภูเก็ต ที่สื่อถึงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกและต่อเนื่อง แสตมป์ชุดนี้จึงเป็นมากกว่าสิ่งสะสม แต่คือสื่อกลางของ Soft Power ที่ใช้ “ภาพหนึ่งภาพ” สื่อสารประวัติศาสตร์และมิตรภาพข้ามพรมแดน ทั้งยังต่อยอดจากแสตมป์ชุดครบรอบ 20 ปี ไทย–จีน ที่บันทึกหมุดหมายสำคัญของสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และได้ยืนยันบทบาทไปรษณีย์ไทยในฐานะผู้ถ่ายทอดเรื่องราวระหว่างสองอารยธรรมผ่านศิลป์บนแสตมป์อย่างต่อเนื่อง
ในโลกที่การแข่งขันไม่ได้วัดจากเศรษฐกิจหรืออาวุธเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง “พลังทางวัฒนธรรม” แสตมป์ถือเป็น Soft Power ที่ทรงพลังในขนาดที่เล็กจิ๋ว สื่อสารอัตลักษณ์ชาติได้อย่างลึกซึ้ง หลายประเทศใช้แสตมป์ในวาระสำคัญเพื่อสะท้อนนโยบายทูต โปรโมทการท่องเที่ยว นำเสนองานศิลปะ วรรณกรรม หรือบุคคลสำคัญ แสตมป์วาระ 50 ปีไทย–จีน จึงไม่ใช่แค่สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ แต่คือ “กลยุทธ์การสื่อสารเชิงลึก” ที่ปลุกพลังความสัมพันธ์ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และวงการสะสมอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อมองผ่านเลนส์แสตมป์ของไปรษณีย์ไทย ความสัมพันธ์ระหว่างไทย–จีนตลอดระยะเวลา 50 ปี ที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพียงความสัมพันธ์ของสองประเทศ แต่คือการเดินทางของจดหมายหลายพันล้านฉบับการส่งต่อผลิตผลหลายหมื่นตัน และการถักทอสายใยแห่งวัฒนธรรมหลายชั่วอายุคน บทบาทของไปรษณีย์ไทยในฐานะ “ผู้ขนส่งมิตรภาพ” ยังคงดำเนินต่อไปอย่างมั่นคง รองรับทั้งเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังเชิงวัฒนธรรม ที่พร้อมจะเชื่อมโยงสองแผ่นดินนี้ให้ใกล้กันอย่างยั่งยืนในทุกมิติ

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เผยภาพรวมตัวเลขการขนส่งพัสดุจากไทยไปจีนในช่วงปีที่ผ่านมามีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่า 3% โดยในปี 2568 ไปรษณีย์ไทยยังมีแผนเชื่อมโยง สนับสนุนเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ ผ่านการให้บริการขนส่งสิ่งของสำหรับลูกค้ากลุ่ม B2B และกลุ่ม B2C และในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย – จีน ได้ร่วมกับสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ จัดงานแสดงตราไปรษณียากรภาคพื้นเอเชีย 2568 “จดหมายแห่งมิตรภาพ – From Bangkok to Beijing” ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์ไทย – จีน ผ่านนิทรรศการแสตมป์ จดหมาย และกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมร่วมสมัย จัดแสดงแสตมป์หายากจากทั่วทั้งเอเชีย ระหว่างวันที่ 8 – 12 สิงหาคม 2568 นี้ ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาความร่วมมือด้านการติดต่อสื่อสารและการเชื่อมเศรษฐกิจระหว่างไทย – จีนผ่านเส้นทางไปรษณีย์ถือเป็นกลไกสำคัญช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งในมิติเศรษฐกิจ ประชาชน ภาคธุรกิจ และกลุ่มผู้ประกอบการ โดยในช่วงปีที่ผ่านมาการขนส่งพัสดุจากไทยไปจีนเติบโตเฉลี่ยกว่า 3% สะท้อนบทบาทของไปรษณีย์ไทยในฐานะโครงสร้างพื้นฐานหลักที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจไร้พรมแดนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยกลุ่มบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ ไปรษณียภัณฑ์ ส่งด่วนระหว่างประเทศ EMS World และพัสดุ ทั้งนี้ ระหว่างไทยและจีนมีเส้นทางด้านการขนส่งที่สำคัญได้แก่ ระบบขนส่งทางอากาศ ทางเรือ และทางภาคพื้น โดยทุกเส้นทางล้วนมีศักยภาพในการช่วยเพิ่มความสามารถการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจไทยในตลาดจีนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสิ่งของที่ได้รับความนิยมในการส่งผ่านไปรษณีย์จากไทยไปปลายทางประเทศจีน คือ เอกสารของเล่น เสื้อผ้าคอตตอน อาหารเสริม เครื่องรางของขลัง

ไปรษณีย์ไทยตระหนักถึงโอกาสนี้ จึงมีแผนในการพัฒนาการขนส่งทางบกจากต้นทางจีนเพื่อให้บริการสำหรับลูกค้ากลุ่ม B2B และกลุ่ม B2C โดยใช้การขนส่งในช่องทางพาณิชย์ เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในการลดต้นทุนค่าขนส่ง สามารถขนส่งได้ในปริมาณมากขึ้นเมื่อเทียบกับการขนส่งทางอากาศ และยังเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าทั้งต้นทางและปลายทางได้มากขึ้น เช่น มีบริการดำเนินพิธีการภาษีศุลกากรทั้งที่ต้นทางและปลายทาง นอกจากนี้ไปรษณีย์ไทยยังอยู่ระหว่างศึกษาการใช้ประโยชน์จากช่องทางการขนส่งทั้งทางรถและทางราง (Multimodul Transport) ไปปลายทางจีน และพร้อมเป็นจุดกระจายสินค้าเข้าไทย โดยใช้เครือข่ายในประเทศและส่งต่อไปทั่วโลก ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้น

ดร.ดนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อตอกย้ำสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีน ไปรษณีย์ไทยจึงร่วมกับสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทยฯ เตรียมจัดงานแสดงตราไปรษณียากรภาคพื้นเอเชีย 2568 “จดหมายแห่งมิตรภาพ From Bangkok to Beijing” เพื่อแสดงบทบาทของแสตมป์ จดหมาย และระบบสื่อสาร–การขนส่งของไปรษณีย์ในฐานะเครื่องมือทางการทูตเชิงวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับคนจีน ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้จะถ่ายทอดเรื่องราวของความทรงจำในรูปแบบของนิทรรศการแสตมป์ จดหมาย และกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมร่วมสมัย ช่วยเชื่อมโยงประสบการณ์ไทย–จีน ทั้งงานศิลปะ งานหัตถกรรม งานเขียน ฯลฯ ที่ล้วนสะท้อนคุณค่าในหลากหลายมิติ โดยมุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสกับพลังของวัฒนธรรมเชิงสื่อสาร ที่เชื่อมโยงระหว่าง Soft Power กับเส้นทางเศรษฐกิจ และเปิดมุมใหม่ให้เห็นว่า “ไปรษณีย์ไทย” ยังเป็นจุดเชื่อมสำคัญของภูมิภาคในยุคเศรษฐกิจไร้พรมแดน

ทั้งนี้ ภายในงานมีไฮไลต์ที่สำคัญ อาทิ นิทรรศการพรรณไม้พระนาม “คำหยาดศรีสิรินธร” นิทรรศการภาพตราไปรษณียากรภาพฝีพระหัตถ์ นิทรรศการ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย – จีน การเดินทางของโพยก๊วน คอลเลคชันแสตมป์จากประเทศจีน ที่ทำการไปรษณีย์สยามนอกเขตประเทศไทย การแสดงจากศิลปิน Meet&Greet และมินิคอนเสิร์ตศิลปินชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น โอ๊ต ภาสกร เก่ง–น้ำปิง และนุนิว พร้อมมินิคอนเสิร์ตจาก SERIOUS BACON การแสดงบนเวทีเชิงวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็น งิ้วเปลี่ยนหน้ากากลำตัดแม่ศรีนวล กิจกรรม Workshop ตลาดแห่งมิตรภาพที่รวมร้านเด็ด ของอร่อยจาก 2 วัฒนธรรม ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 12 สิงหาคม 2568 นี้ ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก

นายชาญชัย กรรณสูต นายกสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 50 ปีของสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทยฯ ได้ร่วมกับไปรษณีย์ไทยจัดงานแสดงตราไปรษณียากรภาคพื้นเอเชีย พ.ศ. 2568 (THAILAND 2025 Asian International Stamp Exhibition) ถือเป็นจุดหมายสำคัญของประเทศไทย ในฐานะเจ้าภาพเวทีการประกวดและแสดงแสตมป์ระดับนานาชาติครั้งยิ่งใหญ่ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 27 ประเทศ จัดแสดงแสตมป์หายากและมีผลงานเข้าร่วมกว่า 1,200 เฟรม โดยเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไปรษณีย์ในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
“ภายในงานจะมีการนำเสนอนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ด้วยพระเมตตาแห่งองค์อุปถัมภ์” จัดแสดงภาพตราไปรษณียากรภาพฝีพระหัตถ์ พระราชกรณียกิจด้านการสะสม ภาพถ่ายหรือวีดีทัศน์พระราชดํารัสเกี่ยวกับตราไปรษณียากร พระราชดํารัสที่กล่าวไว้ในอดีตเกี่ยวกับการสะสม นิทรรศการ 50 ปี สมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ตั้งแต่ยุคบุกเบิกก่อตั้งสมาคมจนถึงปัจจุบัน สิ่งแสดงเกียรติยศจากสมาชิก FIAP (Grand Prix Club) และคอลเลคชันแสตมป์จากประเทศจีน นิทรรศการสิ่งแสดงเกียรติยศจากสมาชิกที่เคยได้รับรางวัลกรังด์ปรีซ์มาแล้ว ซึ่งเป็นผลงานที่ทรงคุณค่าและหายากมากคอลเลคชันประวัติศาสตร์ที่ทำการไปรษณีย์มองโกเลีย ค.ศ. 1854 – 1921 ส่งตรงจากประเทศจีน ซึ่งเป็น คอลเลคชันระดับคลาสสิกที่เคย ได้รับรางวัลใหญ่ระดับนานาชาติมาแล้วหลายครั้ง นอกจากนี้ยังมีการออกร้านจําหน่ายตราไปรษณียากรเอกชน และร้านการไปรษณีย์ต่างประเทศอีกด้วย”

ศาสตราจารย์ ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ และประธานสภาอาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า พัฒนาการของมิตรภาพระหว่างไทย–จีนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในมิติทางเศรษฐกิจหรือการเมือง หากแต่ค่อย ๆ ถักทอสู่การเป็น “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์” ที่เติบโตไปพร้อมกัน และความเจริญก้าวหน้าของจีนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้ส่งอิทธิพลต่อการพัฒนาของไทยอย่างแยกไม่ออก ไทยจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ ปรับตัว และแสวงหาจุดร่วมกับจีนอย่างสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือความเข้าใจซึ่งกันและกันการสร้างบทสนทนาทางวัฒนธรรมที่จริงใจจึงเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และในจุดนี้หน่วยงานอย่างไปรษณีย์ไทย พร้อมทำหน้าที่เป็น “ทูตวัฒนธรรม” โดยอ้อมมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านตราไปรษณียากรที่บันทึกเรื่องราว และภาพจำร่วมกันระหว่างไทย–จีน ส่งเสริมและร้อยเรียงความเข้าใจของทั้งสองประเทศได้อย่างแนบเนียน
“การสร้างความเข้าใจระหว่างกันคือรากฐานที่ยั่งยืนของมิตรภาพระหว่างชาติ หากสามารถพัฒนาให้ทั้งสองประเทศรู้จักกันอย่าง “รู้ใจ” ก็จะนำไปสู่ความร่วมมือที่แน่นแฟ้น สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างแข็งแรง และช่วยกันประคับประคองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มั่นคงยิ่งขึ้นในระยะยาว โดยทุกภาคส่วนล้วนมีบทบาท แม้แต่กระทั่งดวงแสตมป์เล็ก ๆ บนซองจดหมายก็มีพลังในการเชื่อมโยงหัวใจคนจากสองแผ่นดินได้อย่างทรงคุณค่าและงดงาม”