Microsoft Build 2025 ก้าวสู่ยุคแห่ง AI agent มุ่งสร้างโลกดิจิทัลแบบเปิดที่ขับเคลื่อนด้วย AI อัตโนมัติ
ไมโครซอฟท์ประกาศเปิดตัวนวัตกรรม AI ทั้งในระดับแพลตฟอร์ม ผลิตภัณฑ์ และโครงสร้างพื้นฐาน ใน Microsoft Build 2025 งานใหญ่ประจำปีสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 19-22 พฤษภาคมที่เมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา
โลกได้ก้าวสู่ยุคของ AI agent อย่างเต็มตัวแล้ว เป็นผลมาจากความสามารถที่ก้าวล้ำขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านการใช้เหตุผลและความทรงจำ จึงทำให้โมเดล AI ต่าง ๆ ในปัจจุบันมีความอัจฉริยะทำงานได้ตอบโจทย์มากขึ้น มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาในรูปแบบใหม่ ๆ ได้มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ การที่กลุ่มนักพัฒนากว่า 15 ล้านคนที่ได้ใช้ GitHub Copilot เป็นตัวช่วยในการเขียนโค้ด โดยมีฟีเจอร์อย่าง Agent Mode และ Code Review เข้ามาลดความซับซ้อนในการเขียน ตรวจสอบ แก้ไขปัญหา และนำโค้ดไปใช้งานจริงในโซลูชันต่าง ๆ
ขณะเดียวกัน ลูกค้าหลายแสนรายทั่วโลกของเราเลือกใช้ Microsoft 365 Copilot เป็นผู้ช่วยในการค้นคว้าหาข้อมูล ระดมความคิด และสร้างสรรค์โซลูชันที่ตอบโจทย์ นอกจากนี้ องค์กรกว่า 230,000 แห่ง รวมถึง 90% ของบริษัทระดับ Fortune 500 ยังได้นำ Copilot Studio มาพัฒนา AI agent และระบบอัตโนมัติมากมายด้วยตนเอง
ฟูจิตสึและเอ็นทีที เดต้า ได้นำ Azure AI Foundry มาเป็นรากฐานในการสร้างและบริหารจัดการแอปพลิเคชันและระบบอัตโนมัติที่ทำงานด้วย AI โดยมุ่งเน้นไปที่งานด้านการจัดลำดับความสำคัญของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย การร่นเวลาในการร่างแผนงานและข้อเสนอให้กับลูกค้า และการวิเคราะห์หาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละราย ทางด้านโรงพยาบาล Stanford Health Care ก็นำระบบบริหารจัดการ AI agent สำหรับงานสาธารณสุขของไมโครซอฟท์มาใช้พัฒนาและทดสอบระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ที่ช่วยลดภาระการทำงานเชิงธุรกรรม และเพิ่มความเร็วในการเตรียมข้อมูลเพื่อทำแผนการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง
นักพัฒนาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ทั้งนี้ ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้เสริมศักยภาพให้กับนักพัฒนาทั่วโลกด้วยเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นความจริง พร้อมขับเคลื่อนการสรรค์สร้างนวัตกรรมในทุกขั้นตอน และในปัจจุบัน เราก็ได้เห็นผลงานและแนวคิดที่น่าตื่นเต้นมากมาย จากนักพัฒนาที่กำลังขับเคลื่อนโลกดิจิทัลให้ก้าวสู่ยุคต่อไปด้วยผลงานสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI หรือการผสานระบบต่าง ๆ เข้ากับคลาวด์อย่างไร้รอยต่อ
ในอนาคต เราคาดการณ์ว่าจะได้เห็นโลกที่มี AI agent มากมาย ทำงานช่วยเหลือมนุษย์แบบอัตโนมัติ ทั้งในระดับส่วนบุคคล องค์กร ทีม หรือแม้แต่แบบครบวงจร ครอบคลุมระบบงานตั้งแต่ต้นจนจบ และนั่นหมายความว่าโลกออนไลน์ของเราจะกลายเป็น “Open Agentic Web” ที่เปิดกว้างให้ AI agent สามารถลงมือตัดสินใจหรือทำงานต่าง ๆ ได้ในฐานะตัวแทนของมนุษย์หรือองค์กรต่าง ๆ
ในงาน Microsoft Build ปีนี้ นอกจากเผยโฉมนวัตกรรมที่ปู
ไฮไลท์สำคัญในงาน Microsoft Build 2025 มีดังนี้
พลิกโฉมวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้
ปัจจุบัน AI กำลังเปลี่
- Coding Agent สำหรับ GitHub Copilot และฟีเจอร์ใหม่สำหรับนักพัฒนา AI บน GitHub Models: GitHub Copilot พัฒนาจากบทบาทเดิมในฐานะผู้ช่วยเขียนโค้ดภายในแอป ขึ้นมาเป็น AI agent ที่เป็นเสมือนเพื่อนร่วมงานอีกคน ทั้งยังเป็นผู้ช่วยเขียนโค้ดตัวแรกที่สามารถทำงานแบบ asynchronous สามารถเขียนและปรับแก้โค้ดที่เขียนได้ด้วยตัวเอง โดยสังเกตการณ์จากข้อมูลที่มีอยู่และลงมือปรับเปลี่ยน-แก้ไขได้ทันทีเมื่อข้อมูลต้นทางเปลี่ยนแปลงไป GitHub Models พื้นที่รวบรวมสารพัดโมเดลสำหรับนักพัฒนาสาย AI ก็มีฟีเจอร์ใหม่มากมาย ทั้งการบริหารจัดการพรอมต์ การประเมินโมเดลแบบรวดเร็ว และการควบคุมการใช้งานโมเดลภายในองค์กร เพื่อให้นักพัฒนาสามารถทดลองใช้งานโมเดล AI ชั้นนำได้อย่างเต็มรูปแบบยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มอื่นนอก GitHub นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังได้ปล่อยซอร์สโค้ดของส่วนขยาย GitHub Copilot Chat ใน VS Code เพื่อเปิดให้นักพัฒนาทุกคนสามารถเข้าถึงโค้ดที่อยู่เบื้องหลังความสามารถมากมายของ GitHub Copilot เช่นเดียวกับตัวของ VS Code เอง ซึ่งเป็นเครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก และพัฒนาในรูปแบบโอเพนซอร์สเช่นกัน ทั้งนี้ GitHub เป็นพื้นที่ที่รองรับนักพัฒนากว่า 150 ล้านคนทั่วโลก และความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ ตอกย้ำพันธกิจของไมโครซอฟท์ที่จะส่งเสริมการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ทั้งเปิดกว้าง รองรับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และขับเคลื่อนด้วย AI
- เปิดตัว Windows AI Foundry: Windows ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและใช้งานอย่างแพร่หลายที่สุดในกลุ่มนักพัฒนา ทั้งยังมีความยืดหยุ่นสูง พร้อมรองรับการเติบโตทั้งในเชิงเทคนิคและโอกาสการทำตลาด ในโอกาสนี้ เราได้เปิดตัว Windows AI Foundry ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรองรับการทำงานของนักพัฒนาสาย AI แบบครบวงจร ครอบคลุมกระบวนการฝึกสอนและคิดวิเคราะห์ของโมเดล AI อย่างครบถ้วนในที่เดียว แพลตฟอร์มนี้มี API พื้นฐานสำหรับการประมวลผลข้อมูลในรูปแบบของภาพและภาษามาให้ในตัว จึงทำให้นักพัฒนาสามารถใช้งานและจัดการกับโมเดล LLM แบบโอเพนซอร์สได้ด้วยตัวเองผ่าน Foundry Local หรือจะนำโมเดลจากภายนอกมาปรับแต่งและใช้งานจริงก็ทำได้เช่นกัน ไม่ว่าจะรันบนอุปกรณ์ปลายทางหรือผ่านคลาวด์ ทั้งนี้ นักพัฒนาสามารถเริ่มต้นใช้งาน Windows AI Foundry ได้แล้ววันนี้
- Azure AI Foundry Models พร้อมเครื่องมือใหม่สำหรับการประเมินโมเดล AI: Azure AI Foundry เป็นแพลตฟอร์มครบวงจรสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการออกแบบ ปรับแต่ง และจัดการทั้งแอปพลิเคชัน AI และระบบ AI agent ต่าง ๆ ในที่เดียว และด้วย Azure AI Foundry Models เราก็พร้อมที่จะเปิดให้นักพัฒนาได้เข้าถึงโมเดล Grok 3 และ Grok 3 mini จาก xAI ผ่านทางแพลตฟอร์มของเรา โดยโมเดลทั้งสองจะทำงานอยู่ในอีโคซิสเต็มของไมโครซอฟท์ และสามารถชำระค่าบริการใช้งานให้กับไมโครซอฟท์ได้โดยตรง ทั้งนี้ นักพัฒนายังสามารถเลือกใช้งานโมเดล AI กว่า 1,900 ตัวผ่าน Azure AI Foundry Models ไม่ว่าจะเป็นโมเดลที่ทำงานอยู่บนระบบของไมโครซอฟท์เอง หรือผ่านระบบของพาร์ทเนอร์ของเรา โดยที่ยังคงรักษาความปลอดภัยในการใช้ทรัพยากรข้อมูล รองรับการปรับแต่งโมเดล และมอบทางเลือกที่ได้มาตรฐานระดับองค์กรในการบริหารจัดการโมเดล AI นอกจากนี้ เรายังได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่สำหรับแพลตฟอร์มนี้ ทั้ง Model Leaderboard ที่จัดอันดับโมเดล AI ตามประสิทธิภาพในงานด้านต่างๆ และ Model Router ที่ช่วยเลือกโมเดล AI ที่เหมาะสมที่สุดตามโจทย์ของผู้ใช้งานแบบเรียลไทม์
ยกระดับความสามารถและความปลอดภั
AI agent ไม่ได้เข้ามาเปลี่
- การเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบของ Azure AI Foundry Agent Service มาพร้อมกับความสามารถใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำ AI agent แบบเฉพาะทางหลาย ๆ ตัวมาร่วมมือกันจัดการกับงานที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวม Semantic Kernel และ AutoGen ไว้ใน SDK ชุดเดียว หรือการรองรับมาตรฐานสำหรับสื่อสารระหว่าง agent อย่าง Agent-to-Agent (A2A) และ Model Context Protocol (MCP) นอกจากนี้ เรายังได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Azure AI Foundry Observability เพื่อให้นักพัฒนามีความมั่นใจใน AI agent ที่ลงมือสร้างเองมากขึ้น โดยสามารถดูข้อมูลและการวัดผลเชิงประสิทธิภาพ คุณภาพของผลงาน ต้นทุน และความปลอดภัย พร้อมด้วยแหล่งที่มาของข้อมูลทั้งหมดโดยละเอียด รวบรวมไว้ในแดชบอร์ดที่ใช้งานสะดวก
- ค้นหา ปกป้อง และจัดการกับ AI agent ในองค์กร ผ่าน Azure AI Foundry: Microsoft Entra Agent ID (รุ่นพรีวิว) จะทำให้การบริหารจัดการ AI agent ในองค์กรมีความปลอดภัยและรัดกุมมากยิ่งขึ้น โดย agent ที่สร้างขึ้นใน Microsoft Copilot Studio หรือ Azure AI Foundry จะได้รับการกำหนดตัวตนเป็นเหมือนผู้ใช้ในระบบของ Entra จึงทำให้องค์กรมองเห็นและจัดการกับ agent ต่าง ๆ ได้ทันที และลดโอกาสที่องค์กรจะมี AI agent ใช้งานเป็นจำนวนมากจนเกินจำเป็น นอกจากนี้ ทั้งแอปและ AI agent ที่พัฒนาขึ้นใน Azure AI Foundry ยังจะได้รับการปกป้องด้านข้อมูลและการปฏิบัติตามข้อกำหนดขององค์กร ผ่านทาง Microsoft Purview อีกด้วย ขณะที่แพลตฟอร์ม Azure AI Foundry เอง มาพร้อมเครื่องมือสำหรับการบริหารจัดการ AI agent อีกมากมาย ทั้งการกำหนดระดับความเสี่ยง การประเมิน AI agent แบบอัตโนมัติ และการจัดทำรายงานสรุปโดยละเอียด
- เปิดตัว Microsoft 365 Copilot Tuning และการประสานงานแบบ multi-agent: Copilot Tuning เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถนำข้อมูลและระบบงานของบริษัทมาฝึกสอนโมเดล AI และพัฒนาต่อยอดเป็น AI agent ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเป็นจำนวนมาก โดย agent ที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบนี้สามารถทำงานแบบเฉพาะทางตามที่เทรนมาได้อย่างแม่นยำภายใต้ขอบเขตของบริการ Microsoft 365 ที่แต่ละองค์กรใช้งานอยู่ ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมายสามาถพัฒนา AI agent ที่เขียนเอกสารในรูปแบบที่ตรงกับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและสไตล์การเขียนของบริษัทได้ เป็นต้น นอกจากนี้ Copilot Studio ยังพร้อมรองรับการทำงานเชื่อมโยงกันระหว่าง AI agent หลายตัว ซึ่งจะทำให้ระบบอัตโนมัติเหล่านี้สามารถนำความสามารถที่แตกต่างกันของ agent แต่ละตัวมาใช้งานร่วมกัน เพื่อจัดการกับงานที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้นได้ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าใช้งานฟีเจอร์ใหม่นี้ และอัปเดตอื่น ๆ ที่จะเปิดตัวพร้อมกับ Microsoft 365 Copilot Wave 2 Spring Release ซึ่งเปิดตัวให้ลูกค้าองค์กรใช้งานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
โลกออนไลน์แบบเปิดที่พร้อมรองรั
เพื่อให้ศักยภาพของ AI agent เติบโตพร้อมรองรับอนาคตที่
- การรองรับ Model Context Protocol (MCP): แพลตฟอร์มและเฟรมเวิร์กเพื่อการพัฒนา AI agent ของไมโครซอฟท์ทั้งหมดจะรองรับมาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็น GitHub, Copilot Studio, Dynamics 365, Azure AI Foundry, Semantic Kernel หรือ Windows 11 นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์และ GitHub ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะกรรมการกำกับดูแลมาตรฐาน MCP เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วนหันมารองรับมาตรฐานแบบเปิดนี้ และยังถือโอกาสนี้ในการเปิดตัวองค์ประกอบใหม่อีกสองส่วนในมาตรฐาน MCP ได้แก่ มาตรฐานการยืนยันตัวตนแบบใหม่ ที่เปิดให้ผู้ใช้งานนำวิธีการยืนยันตัวตนที่มีอยู่เดิมมาปลดล็อกให้ AI agent และแอปพลิเคชัน AI ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูล (เช่น พื้นที่จัดเก็บข้อมูลในเครื่อง) และบริการ (เช่น เครื่องมือหรือบริการที่สมัครสมาชิกไว้) ของตนเองได้ และโครงสร้างบริการ MCP server registry สำหรับการรวบรวมรายการเซิร์ฟเวอร์มาตรฐาน MCP ที่ช่วยเชื่อมโยงโมเดล AI ให้เข้าถึงข้อมูลจากภายนอกได้ ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์มุ่งมั่นที่จะร่วมพัฒนามาตรฐาน MCP โดยมีความปลอดภัยเป็นพื้นฐานสำคัญ
- เปิดตัวโครงการ NLWeb เพื่อร่วมกันสร้างมาตรฐานแบบเปิดสำหรับอนาคต: ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว NLWeb มาตรฐานใหม่สำหรับโลกออนไลน์ที่อาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในยุคของ AI agent ไม่แพ้มาตรฐาน HTML ในปัจจุบัน โดย NLWeb ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เว็บไซต์ต่างๆ สามารถเปิดช่องทางตอบโต้กับผู้ใช้ผ่านการสนทนาด้วยภาษามนุษย์ได้อย่างง่ายดาย เพียงเลือกโมเดลที่ต้องการใช้ และเติมข้อมูลของตนเองเข้าไป ก็ทำให้ผู้ใช้สามารถตอบโต้กับเนื้อหาในเว็บไซต์ได้โดยตรง ทั้งนี้ เว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นภายใต้มาตรฐาน NLWeb จะมีสถานะเป็นเซิร์ฟเวอร์ MCP ด้วย ซึ่งจะทำให้ AI agent สามารถเข้าถึงและใช้งานเว็บไซต์นั้น ๆ ได้โดยสะดวกเช่นกันหากผู้ใช้งานเลือกไว้
ขับเคลื่อนการค้นคว้าวิจัยทางวิ
วิทยาศาสตร์อาจเป็นหนึ่
